วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยีราฟ





ยีราฟ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Giraffidae เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีลักษณะเด่น คือ เป็นสัตว์ที่ตัวสูง ขายาว ลำคอยาว มีเขา 1 คู่ ตัวมีสีเหลืองและสีน้ำตาลเข้มเป็นลาย มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ตัวผู้มีความสูง 4.8 ถึง 5.5 เมตร (16-18 ฟุต) และมีน้ำหนักถึง 900 กิโลกรัม (2,000 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดและความสูงน้อยกว่าเล็กน้อย จัดเป็นสัตว์บกที่มีความสูงที่สุดในโลก
ยีราฟ มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ไม่ผลัดเขา ที่เขามีขนปกคลุมอยู่ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงราว 15-20 ตัว หรือมากกว่านั้น ในทุ่งโล่งร่วมกับสัตว์กินพืชชนิดอื่น ๆ เช่น แอนทิโลป, ม้าลาย หรือนกกระจอกเทศ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 3 ปีครึ่ง ตั้งท้องนาน 420-461 วัน ลูกยีราฟหย่านมเมื่ออายุได้ 10 เดือน เมื่อคลอดออกมาแล้วจะสามารถยืนและเดินได้ภายในเวลาไม่นานเหมือนสัตว์กีบคู่ทั่วไป และวิ่งได้ภายในเวลา 2-3 วัน ตัวเมียมีเต้านมทั้งหมด 4 เต้า 



สิงโต






แผงคอของสิงโตเพศผู้ที่โตเต็มวัยเป็นลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของสบีชีส์นี้ ซึ่งไม่พบในสัตว์ในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ส่งผลให้มันแลดูมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยในแสดงออกของการข่มขู่ได้ดีเยี่ยมเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโตตัวอื่นและคู่แข่งที่สำคัญในแอฟริกา ไฮยีนาลายจุด การที่มีหรือไม่มีแผงคอ รวมถึงสีและขนาดนั้นเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทางพันธุกรรม การเจริญเติบโต สภาพอากาศ และการสร้างเทสโทสเตอโรน มีหลักทั่วไปว่าขนแผงคอสีเข้มกว่าและใหญ่กว่าคือสิงโตที่มีสุขภาพดีกว่า การเลือกคู่ของนางสิงห์นั้นมักจะเลือกสิงโตเพศผู้ที่มีแผงคอหนาแน่นและมีสีเข้มที่สุด จากการศึกษาในประเทศแทนซาเนียยังแสดงให้เห็นว่าขนแผงคอที่ยาวเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการประสบความสำเร็จในการต่อสู้ระหว่างสิงโตเพศผู้ด้วยกันอีกด้วย แผงคอที่เข้มดำอาจบ่งบอกถึงช่วงเจริญพันธุ์ที่ยาวนานกว่าและลูกหลานที่มีโอกาสรอดชีวิตสูง แม้ว่าต้องอดอยากในเดือนที่ร้อนที่สุดของปีก็ตาม ในฝูงที่ประกอบไปด้วยสิงโตเพศผู้ 2-3 ตัว มีทางเป็นไปได้ที่นางสิงห์จะจับคู่ผสมพันธุ์กับเพศผู้ที่มีขนแผงคอใหญ่ที่สุด หนักที่สุด




ปลาโลมา



ประวัติของโลมา

 ตำนานกรีก เล่าว่า เทพแห่งไวน์ของกรีก ชื่อ ไดโอนีซอส (Dionysos) แปลงลงมาเป็นมนุษย์ และได้โดยสารเรือข้ามจากเกาะอิคาเรีย (Ikaria) ไปยังเกาะนาซอสในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไดโอนีซอสนั้นแม้จะเป็นเทพ ทว่าไม่มีญาณหยั่งรู้ว่าเรือลำที่ตนโดยสารไปนั้นเป็นเรือโจร ลูกเรือจะปล้นผู้โดยสารทุกคนถ้วนหน้า เมื่อถึงคราวของไดโอนีซอส เขาจึงถูกลูกเรือปล้น และคิดจะจับเขาไปขายเป็นทาส ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำต้องแสดงตนว่าเป็นเทพ และสาปให้เรือมีเถาองุ่นขึ้นเต็ม มีเสียงขลุ่ยดังขึ้น พวกลูกเรือตกใจ จึงกระโดดน้ำหนีไปหมด และได้กลายร่างเป็นปลาโลมา มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อกลายเป็นปลาโลมา นิสัยของลูกเรือก็เปลี่ยนไปด้วย กลายเป็นสัตว์ที่ใจดี มีเมตตา แถมยังช่วยเทพแห่งสมุทร คือ โพซิดอนหาเจ้าสาวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ปลาโลมาจึงได้รับเกียรติจากโพซิดอน ตั้งชื่อ กลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งว่า กลุ่มดาวโลมาอีกด้วย ที่จริงแล้วโลมาเคยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่บนบกเหมือนมนุษย์ แต่เพื่อความพยายามหาอาหาร เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และหนีศัตรู โลมาจึงค่อยๆปรับตัวให้ลงไปอยู่ในน้ำ เพื่อความอยู่รอดแทน นั่นเป็นตำนานของคนโบราณ แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลมาเป็นสัตว์เลือดอุ่นอาศัยอยู่ในน้ำ คลอดลูก เป็นตัว แถมยังเลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนมนุษย์ และยังเป็นสัตว์น้ำที่น่ารักเสียด้วย



วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพลงที่ชอบ

บีเวอร์ (Beaver)




บีเวอร์จัดเป็นสัตว์จำพวกฟันแทะชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับกระรอกยักษ์ พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์ คือ พันธุ์ยูเรเชียน (Eurasian beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor fiber) กับพันธุ์อเมริกาเหนือ (North American beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์ก็คือ Castor Canadensis) ถึงแม้จะมีขนาดและรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองสายพันธุ์แยกขาดจากกันตั้งแต่เมื่อ 24,000 ปีที่แล้ว พวกมันจึงไม่สามารถผสมพันธุ์กันเองได้อีก บีเวอร์มีขนาดตัวใหญ่กว่าที่คุณคิด โดยตัวบีเวอร์ตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่พอๆ กับเด็กอายุ 8 ขวบ ขณะที่ตัวบีเวอร์ยักษ์ (Giant beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor ohioensis) ซึ่งได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน 

บีเวอร์สามารถดำน้ำได้นานถึง 15 นาที ริมฝีปากซึ่งมีขนขึ้นเป็นแนวที่สามารถกั้นน้ำได้ รวมถึงหูที่สามารถปิดและโพรงจมูกที่สามารถเปิด ซึ่งช่วยให้พวกมันแทะใต้น้ำได้ ฟันหน้าสี่ซี่ของบีเวอร์มีสีส้มสุกสว่าง เคลือบฟันของมันมีธาตุเหล็กเพื่อเสริมความแข็งแรงและฟันของมันไม่เคยหยุดเจริญเติบโต เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า “ไม่เคยอยู่เฉย” แต่พวกมันก็ค่อนข้างขี้เกียจ ในช่วงฤดูหนาว

ในปี 1760 วิทยาลัยการแพทย์และคณะเทวศึกษาในกรุงปารีสได้จัดให้บีเวอร์เป็นปลาชนิดหนึ่ง เนื่องจากหางที่เป็นเกล็ดของมัน นั่นหมายความว่า ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งรกรากในทวีปอเมริกาเหนือสามารถทานเนื้อบีเวอร์ได้อย่างเป็นทางการในเทศกาลมหาพรตหรือเทศกาลถือศีลอดอื่นๆ ทั้งนี้เชื่อว่า หางของบีเวอร์มีรสชาติคล้ายกับเนื้อวัวย่าง


ครั้งหนึ่งคนมองว่า บีเวอร์เปรียบเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ นับจากยุคกรีกโบราณเป็นต้นมา สารคัดหลั่งจากต่อมสองต่อมที่อยุ่ใกล้กระเพาะปัสสาวะของมัน ซึ่งมีชื่อว่า คาสโตเรียน (castoreum) ถูกนำมาใช้เป็นตัวยาที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดหัว เป็นไข้ ลมบ้าหมู รวมทั้งใช้เป็นยาระบายด้วย ชนเผ่าซามีในแลปแลนด์ผสมสารคัดหลั่งของมันเข้ากับยานัตถุ์ ปัจจุบัน สารตัวนี้ใช้เพื่อทำน้ำหอมเท่านั้น น้ำหอมชาลิมาร์ของเกอร์แลงกับน้ำหอม แม็กกี นอร์ ของลังโคม ต่างก็มีส่วนผสมของสารคัดหลั่งจากบีเวอร์ที่ทำการสังเคราะห์แล้ว
โชคร้ายเหลือเกินที่มูลค่าของสารคาสโตเรียมและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเสียงอ่านที่คล้ายกับคำว่า “castrate (แปลว่า ตอน)” เหมือนจะยิ่งเพิ่มความเชื่อให้กับตำนานที่เล่าขานโดยอีสป ผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Eider) และคนอื่นๆ ว่า บีเวอร์ที่ถูกล่าจะกัดอัณฑะของตัวเองทิ้งเพื่อหลบหนี
ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร บีเวอร์ก็ถูกล่าอยู่ดี ที่ประเทศแคนาดา ในช่วงศตวรรษที่ 17 หนังของมันเป็นสกุลเงินที่เรียกว่า “เมดบีเวอร์” หรือย่อว่า “เอ็มบี” ปืนหนึ่งกระบอกในสมัยนั้นมีค่าเท่ากับ 132 เอ็มบี เวลาเดียวกันนั้นในประเทศอังกฤษ คำว่า “บีเวอร์” มีความหมายว่า “หมวก” ในปี 1628 พระเจ้าชาลล์ที่ 1 ทรงประกาศว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ควรนำมาทำเป็นหมวก นอกจากหนังหรือขนของบีเวอร์” หมวกที่ทำจากบีเวอร์จะไม่ใช่แบบที่มีขนนุ่มๆ เพราะขนของบีเวอร์จะถูกนำมาบด บีบ และ อบให้ร้อนเพื่อทำให้เป็นผ้าสักหลาดกันน้ำ


วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แมวกับหมา


หมากับแมวแตกต่างกันอย่างไร

สัตว์สองชนิดนี้เป็นสัตว์ที่เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มานานมาก คนอีกมากมายที่จะเลี้ยงสัตว์ก็ต่อเมื่อมันทำประโยชน์ให้
เลี้ยงหมา...ไว้เฝ้าบ้าน
เลี้ยงแมว...ไว้จับหนู
แต่โบราณก็มีที่มาแบบนั้น
แมวเลยแพร่พันธุ์ไปได้ทั่ว เพราะคนนำแมวใส่เรือสินค้าไว้คอยจับหนู เลี้ยงแมวไว้บนเรือนก็ไว้จับหนู
ส่วนหมาเลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้าน เพราะไว้เห่ากันขโมย...ซึ่งไม่ได้หมายความว่า
คนเลี้ยงจะรักชอบแมวมากกว่าหมาเป็นพิเศษเสมอไป ลักษณะนิสัยของคนเลี้ยงก็เหมาะกับสัตว์เลี้ยงแตกต่างกันไป
หมานั้นมีบรรพบุรุษเป็นหมาป่าที่อยู่รวมกันเป็นฝูงเป็นสัตว์สังคม...หมาจึงยอมรับการเป็นผู้นำของหัวหน้าฝูง
เมื่อหมาพัฒนามาเป็นสัตว์เลี้ยงของคน หมาตัวนั้นก็จะยอมรับคนที่ให้อาหาร ให้การดูแลมัน เป็นส่วนหนึ่งของฝูงมัน
และเมื่อเราตัวใหญ่กว่ามัน หาอาหารให้มัน มันจึงยอมรับนับถือเราเป็นหัวหน้าฝูง
หมา...จึงเชื่อฟังคำสั่งของคนเลี้ยงได้มากกว่าแมว
หมาเมื่อจะออกนอกบ้าน วิ่งไปแล้วจะหันกลับมามอง รอว่า...หัวหน้าของมันจะตามออกไปด้วยไม
บรรพบุรุษของหมา เป็นสัตว์ที่เปลี่ยนที่หากินไปเรื่อยๆ จึงไม่ใส่ใจกับความสะอาดของที่อยู่อาศัย หมาจึงขี้แล้วไม่กลบเหมือนแมว

แต่สำหรับแมวแล้วแตกต่างกัน
แมวมีบรรพบุรุษจากแมวป่า เป็นนักล่าที่อิสระ
แมวจะหากินตัวเดียว จะอาศัยประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ
แมวจึงรักษาความสะอาดของบริเวณที่อาศัย
แมวจึงขี้แล้วกลบ ส่วนอาหารที่หาได้แล้วยังกินไม่หมด แมวก็จะขุดแล้วกลบไว้ กันตัวอื่นได้กลิ่น เมื่อหิวก็จะมาขุดกินใหม่
พฤติกรรมนี้จะเห็นได้จากการให้อาหารแล้วแมวไม่กิน แมวจะเอาเท้าเขี่ยๆกลบพื้นรอบๆ
บางคนอาจเข้าใจว่า แมวเหม็นอาหารนั้น หรือไม่ชอบ แต่จริงๆแล้วมันกลบ...เพื่อจะกลับมากินใหม่
การที่บรรพบุรุษของแมวใช้ชีวิตตัวเดียวทำให้มันคุ้นเคยกับชีวิตอิสระมากกว่าหมา
เมื่อเรานำแมวมาเลี้ยง แมวก็ได้พัฒนาตัวเองเป็นแมวบ้านที่ต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์
แมวจะรักคนเลี้ยงในฐานะของ " แม่ " ที่ให้การเลี้ยงดูมัน
แต่มันจะไม่ยอมรับให้เราเป็นหัวหน้าฝูงแบบหมา
แมวไม่ว่าจะโตแค่ไหน แต่กับคนเลี้ยงมันจะชอบอ้อน เหมือนคนที่ไม่ว่าจะโตแค่ไหนก็ยังอ้อนแม่นั่นล่ะค่ะ
แต่ก็ขึ้นอยู่กับแม่หรือคนเลี้ยงแมวด้วย ว่าใกล้ชิดกับลูก(แมว)แค่ไหน
เมื่อเห็นคนเลี้ยงเดินมา แมวหลายตัวจะนอนหงายเอียงคอมอง เป็นการเชิญชวนให้เข้าไปหา ไปลูบตัวมัน แต่ให้ระวังเวลาลูบท้อง บางตัวอาจจะข่วนหรือกัด ถ้าคนเลี้ยงไม่คุ้นเคยกับมันพอ เพราะท้องแมวเป็นส่วนที่บอบบาง มันจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ
แมวจะแสดงความเป็นเด็กให้คนเลี้ยงที่ใกล้ชิดกับมันเห็นเสมอ แต่เมื่อแมวออกเที่ยว มันจะกลายเป็นแมวโต เป็นนักล่าอย่างเต็มตัว(กรณีนี้หมายถึงแมวที่เคยเที่ยวอย่างอิสระนะ พวกแมวบ้านอินเตอร์ทั้งหลาย ไม่เกี่ยว) เมื่อออกจากบ้านได้ มันจะไม่หันหลังกับมาดูว่า คนเลี้ยงตามมันออกไปไม มันจะมีชีวิตอิสระเต็มที่ จนกว่าจะกลับเข้าบ้านอีกครั้ง