บีเวอร์จัดเป็นสัตว์จำพวกฟันแทะชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับกระรอกยักษ์ พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์ คือ พันธุ์ยูเรเชียน (Eurasian beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor fiber) กับพันธุ์อเมริกาเหนือ (North American beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์ก็คือ Castor Canadensis) ถึงแม้จะมีขนาดและรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองสายพันธุ์แยกขาดจากกันตั้งแต่เมื่อ 24,000 ปีที่แล้ว พวกมันจึงไม่สามารถผสมพันธุ์กันเองได้อีก บีเวอร์มีขนาดตัวใหญ่กว่าที่คุณคิด โดยตัวบีเวอร์ตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่พอๆ กับเด็กอายุ 8 ขวบ ขณะที่ตัวบีเวอร์ยักษ์ (Giant beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor ohioensis) ซึ่งได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน
บีเวอร์สามารถดำน้ำได้นานถึง 15 นาที ริมฝีปากซึ่งมีขนขึ้นเป็นแนวที่สามารถกั้นน้ำได้ รวมถึงหูที่สามารถปิดและโพรงจมูกที่สามารถเปิด ซึ่งช่วยให้พวกมันแทะใต้น้ำได้ ฟันหน้าสี่ซี่ของบีเวอร์มีสีส้มสุกสว่าง เคลือบฟันของมันมีธาตุเหล็กเพื่อเสริมความแข็งแรงและฟันของมันไม่เคยหยุดเจริญเติบโต เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า “ไม่เคยอยู่เฉย” แต่พวกมันก็ค่อนข้างขี้เกียจ ในช่วงฤดูหนาว
ในปี 1760 วิทยาลัยการแพทย์และคณะเทวศึกษาในกรุงปารีสได้จัดให้บีเวอร์เป็นปลาชนิดหนึ่ง เนื่องจากหางที่เป็นเกล็ดของมัน นั่นหมายความว่า ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งรกรากในทวีปอเมริกาเหนือสามารถทานเนื้อบีเวอร์ได้อย่างเป็นทางการในเทศกาลมหาพรตหรือเทศกาลถือศีลอดอื่นๆ ทั้งนี้เชื่อว่า หางของบีเวอร์มีรสชาติคล้ายกับเนื้อวัวย่าง
ครั้งหนึ่งคนมองว่า บีเวอร์เปรียบเสมือนตู้ยาเคลื่อนที่ นับจากยุคกรีกโบราณเป็นต้นมา สารคัดหลั่งจากต่อมสองต่อมที่อยุ่ใกล้กระเพาะปัสสาวะของมัน ซึ่งมีชื่อว่า คาสโตเรียน (castoreum) ถูกนำมาใช้เป็นตัวยาที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดหัว เป็นไข้ ลมบ้าหมู รวมทั้งใช้เป็นยาระบายด้วย ชนเผ่าซามีในแลปแลนด์ผสมสารคัดหลั่งของมันเข้ากับยานัตถุ์ ปัจจุบัน สารตัวนี้ใช้เพื่อทำน้ำหอมเท่านั้น น้ำหอมชาลิมาร์ของเกอร์แลงกับน้ำหอม แม็กกี นอร์ ของลังโคม ต่างก็มีส่วนผสมของสารคัดหลั่งจากบีเวอร์ที่ทำการสังเคราะห์แล้ว
โชคร้ายเหลือเกินที่มูลค่าของสารคาสโตเรียมและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเสียงอ่านที่คล้ายกับคำว่า “castrate (แปลว่า ตอน)” เหมือนจะยิ่งเพิ่มความเชื่อให้กับตำนานที่เล่าขานโดยอีสป ผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Eider) และคนอื่นๆ ว่า บีเวอร์ที่ถูกล่าจะกัดอัณฑะของตัวเองทิ้งเพื่อหลบหนี
ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร บีเวอร์ก็ถูกล่าอยู่ดี ที่ประเทศแคนาดา ในช่วงศตวรรษที่ 17 หนังของมันเป็นสกุลเงินที่เรียกว่า “เมดบีเวอร์” หรือย่อว่า “เอ็มบี” ปืนหนึ่งกระบอกในสมัยนั้นมีค่าเท่ากับ 132 เอ็มบี เวลาเดียวกันนั้นในประเทศอังกฤษ คำว่า “บีเวอร์” มีความหมายว่า “หมวก” ในปี 1628 พระเจ้าชาลล์ที่ 1 ทรงประกาศว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ควรนำมาทำเป็นหมวก นอกจากหนังหรือขนของบีเวอร์” หมวกที่ทำจากบีเวอร์จะไม่ใช่แบบที่มีขนนุ่มๆ เพราะขนของบีเวอร์จะถูกนำมาบด บีบ และ อบให้ร้อนเพื่อทำให้เป็นผ้าสักหลาดกันน้ำ